เราปล่อยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากแค่ไหน?

อิทธิพลจากโควิด-19 และการประกาศล็อกดาวน์ในช่วงของการแพร่ระบาด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนทำงาน ทำให้ธุรกิจบางส่วนปิดทำการชั่วคราว หรือบางธุรกิจ Work from Home การอยู่บ้านมากขึ้น หมายถึงมีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้รัฐบาลนานาประเทศหันมาทบทวนถึงแหล่งพลังงานทดแทนที่ยั่งยืนกว่าพลังงานฟอสซิล ซึ่งล้วนสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์มากกว่า 80% ของทั้งโลก เกิดเทรนด์ใหม่ๆด้านพลังงาน ทั้ง พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม เป็นต้น เมื่อไม่นานมานี้วงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ หรือ IRENA เปิดเผยว่า ในปี 2020 ที่ผ่านมานี้ การลงทุนในพลังงานทดแทนได้แซงหน้าการลงทุนในพลังงานฟอสซิลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงเท่านั้น นักลงทุนหรือผู้ประกอบการหลายๆอุตสาหกรรมเองเริ่มสนใจจะผ่อนถ่ายหลักทรัพย์มาลงทุนในด้านพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นด้วย รวมไปถึงด้านยานยนต์ก็มีการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสาธารณูปโภคที่ต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กันเพื่อสอดรับ เช่น การสร้างพลังงานไฟฟ้าอย่างยั่งยืนด้วยพลังงานทดแทน การปรับปรุงแหล่งกักเก็บไฟฟ้าที่สมบูรณ์ขึ้น สถานีน้ำมันที่จะค่อยๆ กลายเป็นสถานีเติมไฟฟ้าแทน  แม้กระทั่งผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่าง บริติชปิโตรเลียม (BP) ก็ยังเตรียมแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงที่จะกระทบผู้ผลิตน้ำมันอย่างหนักนี้ด้วยการประกาศแผนขายหลักทรัพย์ด้านปิโตรเลียมเกือบทั้งหมด และการลดการสำรวจแหล่งน้ำมัน พร้อมทุ่มการลงทุนไปยังการให้บริการด้านพลังงานคาร์บอนต่ำให้มากขึ้น ทั้งหมดนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดียวของประชาชน นั่นคือ การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ด้วยพันธะของนานาชาติตามข้อตกลงปารีสที่มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานทดแทนจึงรวดเร็วขึ้น โดยถูกกำหนดเป็นนโยบายหลักในหลายประเทศ ก๊าซเรือนกระจกนั้นมีประโยชน์และจำเป็นต่อโลกของเรา ซึ่งก๊าซเรือนกระจกนั้นมีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์…